Department of Eastern Languages

ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นภาควิชาเดียวในประเทศไทยที่จัดการเรียนการสอนวิชาภาษาไทยเพื่อการอ่านจารึกและอักษรโบราณ ทั้งในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท รวมทั้งเปิดสอนวิชาภาษาสันสกฤต และภาษาเขมรตั้งแต่ระดับปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอก และเปิดสอนวิชาภาษาฮินดีเป็นวิชาโทในหลักสูตรสาขาวิชาภาษาตะวันออก

นอกจากนี้ยังได้จัดตั้งศูนย์สันสกฤตศึกษาเพื่อจัดกิจกรรมทางวิชาการเป็นศูนย์ข้อมูล และร่วมมือกับสถาบันการศึกษานานาชาติ ซึ่งศึกษาวิจัยภาษาสันสกฤตและภาษาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย ในปัจจุบันศูนย์สันสกฤตศึกษามีฐานะเป็นหน่วยงานเทียบเท่าภาควิชาสังกัดคณะโบราณคดีโดยมีอาจารย์ด้านภาษาสันสกฤตของภาควิชาภาษาตะวันออกเป็นผู้ดำเนินงาน

ลำดับเหตุการณ์สำคัญของภาควิชาภาษาตะวันออก

ในปี พ.ศ. 2517 เปิดสอนหลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย และหลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาตะวันออก

ในปี พ.ศ. 2519 เปิดสอนหลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจารึกภาษาไทย และหลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจารึกภาษาตะวันออก

ในปี พ.ศ. 2522 ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. อุไรศรี วรศะริน เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้ง “กองทุนสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา” เพื่อเฉลิมพระเกียรติและเป็นพระอนุสรณ์และได้ขยายกองทุนขึ้นเป็น “มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา”

ในปี พ.ศ. 2530 เปิดสอนหลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาสันสกฤต

ในปี พ.ศ. 2532 ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. อุไรศรี วรศะริน เป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มแนวคิดในการจัดตั้ง “ศูนย์ข้อมูลเอกสารศิลปะและมานุษยวิทยา” ให้แก่มหาวิทยาลัยศิลปากร ปัจจุบันคือ “ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร”

ในปี พ.ศ. 2536 เปิดสอนหลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเขมรศึกษา

ในปี พ.ศ. 2539 ก่อตั้งศูนย์สันสกฤตศึกษา ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งที่มีภารกิจหลักเพื่อส่งเสริม ให้ความรู้ และจัดการเรียนการสอนภาษาสันสกฤตและวิชาที่เกี่ยวข้องให้แก่นักศึกษาทั้งระดับปริญญาตรี โท และเอก

ในปี พ.ศ. 2541 ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. อุไรศรี วรศะริน เป็นผู้จัดทำโครงการและวิทยากรนำชมวังหน้าและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โดยไม่คิดค่าบริการ โครงการนี้ได้รับรางวัล “รายการท่องเที่ยวดีเด่น” ประจำปี 2541 จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และภาควิชาภาษาตะวันออก จัดประชุมสันสกฤตนานาชาติว่าด้วยภาษาสันสกฤตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้: ปัจจัยผสมผสานทางวัฒนธรรม (International Sanskrit Conference on Sanskrit in Southeast Asia: The Harmonizing Factor of Cultures)

ในปี พ.ศ. 2543 เปิดสอนหลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาภาษาสันสกฤต ในปี พ.ศ. 2544 เปิดหลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการจดหมายเหตุและเอกสาร (มหาบัณฑิต) และเปิดหลักสูตรปริญญาศิลป ศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาภาษาเขมร

Department of Archeology

การเรียนการสอนเกี่ยวกับโบราณคดี เป็นส่วนหนึ่งของคณะโบราณคดีมาตั้งแต่การก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2498 จนกระทั่ง พ.ศ. 2517 มีการปรับปรุงการบริหารงาน จึงได้จัดตั้ง “ภาควิชาโบราณคดี” อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นภาควิชาแห่งเดียวในประเทศไทย โดยยึดมั่นในปรัชญาที่ว่า “โบราณคดี อนุรักษ์ สืบสาน และต่อยอดมรดกวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน”

ภาควิชาวิชาโบราณคดีเป็นสาขาวิชาที่เน้นศึกษาเรื่องราวของมนุษย์ในอดีตโดยศึกษาจากหลักฐานทางโบราณคดีทั้งที่เป็นโบราณวัตถุและโบราณสถาน เพื่อให้เกิดความเข้าใจเรื่องราวของชุมชน ประชากร และวัฒนธรรมที่เป็นเจ้าของ โบราณวัตถุและโบราณสถานเหล่านั้น การเรียนการสอนแบ่งเนื้อหารายวิชาเป็น 2 สาขา คือ โบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์ หมายถึง อดีตตั้งแต่เริ่มมีมนุษย์จนถึงก่อนการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร และโบราณคดียุคประวัติศาสตร์ หมายถึง ช่วงที่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรและสามารถอ่านตีความได้

ยุคแรกก่อตั้งภาควิชาโบราณคดี (พ.ศ.2517 – 2527)

การเรียนการสอนในสมัยแรกเริ่มจนกระทั่งมีการปรับปรุงการบริหารงาน ภาควิชาเน้นการผลิตบุคลากรด้านโบราณคดีสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของคณะ ส่งผลให้มีการเรียนการสอนที่เน้นทั้งทฤษฎี และการปฏิบัติงานภาคสนามทาง โบราณคดี ในระยะนี้มีการสำรวจและขุดค้นทางโบราณคดีที่สำคัญ คือ แหล่งโบราณคดีบ้านคูเมือง จังหวัดสิงห์บุรี เมืองโบราณ คูบัว จังหวัดราชบุรี และแหล่งโบราณคดีในพื้นที่ตำบลบ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี และในช่วงเวลานี้ ภาควิชาโบราณคดีได้จัดการเรียนการสอนหลักสูตรปริญญาโทขึ้น ทั้งในสาขาโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ และโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ อีกด้วย

ยุคที่สองของภาควิชาโบราณคดี (พ.ศ. 2528 – 2538)

การเรียนการสอนด้านโบราณคดีมีความเข้มข้นมากขึ้นเนื่องจากมีบุคลากรจบการศึกษาออกไปหลายรุ่น ทั้งระดับปริญญาตรีและมหาบัณฑิตในระดับปริญญาโท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบุคลากรในกรมศิลปากร ส่งผลให้งานโบราณคดีในสมัยนี้มีความก้าวหน้า เกิดการสำรวจและขุดค้นทางโบราณคดีโดยกรมศิลปากรจำนวนมาก ส่งผลให้มีชุดข้อมูลหลักฐานประกอบการเรียนการสอนเพิ่มมากยิ่งขึ้น การสำรวจและขุดค้นทางโบราณคดีที่สำคัญ เช่น เมืองฟ้าแดดสงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์ แหล่งโบราณคดีถ้ำซาไก จังหวัดตรัง แหล่งโบราณคดีถ้ำมอเขียว จังหวัดกระบี่ การศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ตองเหลือง

ยุคที่สามของภาควิชาโบราณคดี (พ.ศ. 2539 – 2549)

ในยุคนี้ได้นำเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ เข้ามาประยุกต์ใช้เพื่อวิเคราะห์ และแปลความเรื่องราวทางวัฒนธรรมของมนุษย์ ส่งผลต่อความก้าวหน้าของงานวิจัย และเห็นภาพเรื่องราวสังคมวัฒนธรรมในอดีตได้ชัดเจน อีกทั้งยังเปิดหลักสูตรระดับปริญญาเอก เพื่อขยายขอบเขตการศึกษาให้กว้างขึ้น คณาจารย์และนักศึกษาดำเนินงานสำรวจและขุดค้นทางโบราณคดีที่สำคัญ เช่น แหล่งโบราณคดีบ้านโป่งมะนาว แหล่งโบราณคดีบ้านพรหมทินใต้ และเมืองโบราณซับจำปา จังหวัดลพบุรี แหล่งโบราณคดีเพิงผาบ้านไร่ และเพิงผาถ้ำลอด จังหวัดแม่ฮ่องสอน แหล่งโบราณคดีเขาสามแก้ว จังหวัดชุมพร 

ภาควิชาโบราณคดีใน พ.ศ. 2550 –ปัจจุบัน

        ภาควิชาโบราณคดีเซ็นสัญญาความร่วมมือกับหลายหน่วยงาน สร้างการบูรณาการด้านโบราณคดีกับองค์กรต่าง ๆ และมีงานวิจัยทางโบราณคดีที่น่าสนใจ อาทิ เมืองขีดขิน จังหวัดสระบุรี เมืองนครปฐมโบราณ (แหล่งโบราณคดีธรรมศาลา และแหล่งโบราณคดีหอเอก จังหวัดนครปฐม) โบราณคดีกรุงเทพมหานคร เมืองโบราณอู่ทอง จังหวัด สุพรรณบุรี นอกจากนี้ ผลการศึกษาวิจัยของภาควิชาแต่ละยุคสมัย ได้นำมาต่อยอดผลิตเป็นเอกสารวิชาการและเผยแพร่ผ่านการประชุมวิชาการอย่างต่อเนื่อง เกิดองค์ความรู้เพิ่มขึ้นมากมาย โดยความรู้ต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่เพียงเกิดประโยชน์ต่อ บุคลากรในแวดวงโบราณคดีเท่านั้น แต่ยังสร้างความรู้ความเข้าใจในงานโบราณคดีและศิลปวัฒนธรรมแก่บุคคลทั่วไป ซึ่งการทำงานวิชาการควบคู่ไปกับงานบริการสังคมนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งในงานหลักของภาควิชาโบราณคดีที่ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาสืบต่อไป

Damrong Rajanubhab

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 พระองค์ทรงเป็นนักปราชญ์ที่ได้รับการยกย่องเป็น “พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์และโบราณคดีไทย”

หนึ่งในคุณูปการที่สำคัญของพระองค์ คือการวางรากฐานด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีไทย ที่กลายมาเป็นต้นแบบการศึกษาค้นคว้า ตลอดจนการเรียนการสอนในปัจจุบัน

รวมถึง มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่มีการเรียนการสอนด้านประวัติศาสตร์โดยตรง เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ได้นำทฤษฎีและแนวคิดของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ มาใช้ในการศึกษาต่อยอด

 “ประวัติศาสตร์ไทยได้เริ่มจากการค้นคว้าของพระองค์เป็นพระองค์แรก พระองค์ทรงวางรากฐานสำคัญมากมาย ประการสำคัญคือการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี รวมถึงประวัติศาสตร์ศิลปะในประเทศไทยออกเป็นยุคสมัยต่างๆ ตามลำดับ อย่างที่เราได้เรียนกัน เช่น ประวัติศาสตร์สมัยทวารวดี ประวัติศาสตร์สมัยศรีวิชัย ประวัติศาสตร์สมัยสุโขทัย และประวัติศาสตร์สมัยอยุธยา ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ที่เกิดจากการแบ่งยุคสมัยของพระองค์ทั้งสิ้น ตรงนี้เป็นรากฐานสำคัญ” (รศ.ดร.ประภัสสร์ ชูวิเชียร)

Prasat Ta Dam Pediment

ชิ้นส่วนหน้าบันจากปราสาทตาดำ (ปราสาทปะคำ หรือ ปราสาทหนองตาสี) อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์

ข้อสังเกตที่บอกได้ว่าเป็นชิ้นส่วนหน้าบัน คือ มีส่วนของกรอบหน้าบันแบบโค้งเข้าโค้งออก ภายในสลักลายก้านต่อดอก และส่วนใบระกาที่สลักลายก้านต่อดอกเช่นกัน ภายในกรอบสลักรูปบุคคลชายประทับยืน ถือดอกไม้ห้อยตกลงมา นุ่งผ้าสมพตสั้น ขอบผ้านุ่งด้านหลังยกสูงและเว้าลึกตกลงมาที่ด้านหน้า ด้านข้างมีรูปสตรีที่ขอบผ้านุ่งด้านบนมีรูปแบบเช่นเดียวกับบุรุษ จากลักษณะของขอบผ้านุ่งนี้เอง ที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือกำหนดอายุชิ้นส่วนหน้าบันชิ้นนี้ได้ว่า มีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 (ศิลปะเขมรแบบบาปวน)

Pediment

ชิ้นส่วนหน้าบัน

สันนิษฐานว่า มีอายุราวปลายพุทธศตวรรษที่ 16 – 17 เนื่องจากหน้าบันในช่วงเวลานี้ นิยมประดับขอบด้านล่างของทับหลังด้วยลายคล้ายขื่อ

องค์ประกอบที่บ่งบอกถึงการเป็นชิ้นส่วนหน้าบัน คือ มีส่วนกรอบโค้ง ภายในกรอบสลักลายดอกซีกดอกซ้อน ปลายกรอบเป็นเศียรนาค ขอบด้านล่างสลักลายคล้ายขื่อ สังเกตจากมีการสลักลายเป็นส่วนหัวเสา (เหลือข้างเดียว) และตัวขื่อที่เป็นแนวยาวเรียบ

ภายในกรอบหน้าบันสลักลายบุคคลประทับนั่งเหนือหน้ากาล หน้ากาลคายลายก้านต่อดอกที่โค้งล้อไปกับกรอบหน้าบัน

B.E.2531

ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้า สุภัทรดิศ ดิศกุล อดีตคณบดีคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ยังเสด็จไปอธิบายให้ประชาคมเมืองชิคาโกเข้าใจ สุดท้าย ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ จึงได้กลับคืนสู่เมืองไทย เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ.2531

B.E.2514

ชุมนุมศึกษาวัฒนธรรม – โบราณคดี สโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากร ที่มีนักศึกษาคณะโบราณคดีเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นสมาชิกหลัก ได้ออกวารสาร “นภศูล” เป็นเอกสารวิชาการ เพื่อการเผยแพร่ผลงานด้านศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี ประวัติศาสตร์ และโบราณคดีของสมาชิกชุมนุมฯ

B.E.2510 (2)

การแสดงผลงานนักศึกษาในงานนิทรรศการทางโบราณคดีครั้งแรก

ที่มา : นิทรรศการโบราณคดี. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศิลปากร. คณะโบราณคดี, 2510.

ชุมนุมศึกษาวัฒนธรรม-โบราณคดี จัดนิทรรศการ “โบราณคดี” ขึ้นเป็นครั้งแรก มีการจัดนิทรรศการแสดงผลงานของนักศึกษาสาขาต่างๆ และการอภิปรายในหัวข้อต่างๆ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของชาติไทย ณ บริเวณสวนแก้ว และท้องพระโรงวังท่าพระ ระหว่างวันที่ 29 มกราคม-4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2510 และจัดต่อเนื่องมาเป็นประจำทุกปี

B.E.2510

การออกสำรวจและภาคสนามของนักศึกษาโบราณคดีสมัยก่อน มีอาจารย์ปรีชา กาญจนาคม และมหาจิระเดช ไวยโกสิทธิ์ ยืนด้านหน้า

ที่มา : พีรพน พิสณุพงศ์

คณะโบราณคดีตั้งงบประมาณขอซื้อรถแลนด์โรเวอร์ แบบตรวจการ 1 คัน เพื่อใช้ออกสำรวจ และได้รับงบประมาณให้ซื้อรถดังกล่าวออกสำรวจแหล่งโบราณคดี เป็นรถยนตร์คันแรกของคณะและรถคันแรกของมหาวิทยาลัยศิลปากร

 “รถคณะโบราณคดีคันแรกตอนนั้นเป็น Jeep Land Rover หรูหรามาก เป็นคันแรกและคันเดียวของมหาวิทยาลัย…. พอได้มาก็ใช้เกินคุ้มเลย มีเรื่องมีราวตรงไหน อย่างไร ก็ไปกัน รถจี้ปคันนึงนั่งได้ก็ประมาณสัก 12 คน แต่เราอัดกันเข้าไปตั้ง 20 คน ไม่รู้นั่งซ้อนๆ กันไปได้อย่างไร…” อาจารย์ปรีชา กาญจนาคม เล่าถึงรถยนต์คันแรกของคณะโบราณคดี ในหนังสือ 60 ปี มหาวิทยาลัยศิลปากร พ.ศ. 2486-2546

B.E.2509

ท่านอาจารย์ และ ฌอง บวสเซอลิเยร์ พร้อมทั้งนักศึกษาคณะโบราณคดีคราวขุดค้นที่เมืองโบราณอู่ทอง อ. อู่ทอง จ. สุพรรณบุรี พ.ศ. 2509

ที่มา : โบราณวิทยาเรื่องเมืองอู่ทอง. พระนคร : กรมศิลปากร, 2509. ใน พ.ศ. 2509 ท่านอาจารย์และ ฌอง บวสเซอลิเยร์ พร้อมทั้งนักศึกษาคณะโบราณคดีขุดค้นที่เมืองโบราณอู่ทอง อ. อู่ทอง จ. สุพรรณบุรี ครั้งนั้นจึงเกิดข้อสมมติฐานใหม่ทางโบราณคดีว่า จำนวนผู้คนที่อาศัยในเมืองอู่ทองเริ่มเบาบางตั้งแต่ พุทธศตวรรษที่ 15-16 ส่งผลให้แนวคิดเรื่องสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 พระเจ้าอู่ทองไม่ได้เสด็จมาจากเมืองอู่ทอง